โพสเมื่อ 12 Jun 2016 02:2:42 2702 view
ทฤษฎี ปิดห้องขัง
งานเขียนไม่ใช่แค่เขียน แต่ต้องมีความ Creativity อยู่ในตัว คุณต้องมีความเป็นนักออกแบบควบคู่กับงานเขียนไปด้วย ถึงจะสร้างสรรค์งานเขียนออกมาได้ดี...คิดให้ต่างและโดนทำอย่างไรก็ได้ให้งานเขียนสตรองสุดๆ คุณยังต้องคิดสำนวน การเชื่อมต่อเรื่องราว นำท่อนฮุกมาสอดแทรก มีลูกเล่นในการเขียน และเรียงร้อยถ้อยคำ ให้เป็นถ้อยความ ฮุกให้โดนใจกลุ่มเป้าหมายให้ได้ ความคิดสร้างสรรค์มีส่วนสำคัญในการนำเสนองานเขียนมาก
เอ..แล้วจะกระตุ้นต่อมสร้างสรรค์อย่างไรให้กระตุก??
เรื่องนี้มีทฤษฎีมากมาย แล้วแต่ใครจะเล่าอ้าง บ้างก็ว่า อ่านหนังสือเยอะๆ ดูหนังสือหลายๆ เล่ม เดินทางท่องเที่ยว ชมนกดูไม้ ดูปะการัง ไปในสถานที่แปลกๆ ฯลฯ
แต่ที่น่าสนใจที่สุดกลับเป็นทฤษฎี “ปิดห้องขัง” ขังตัวเองไว้ในห้องเงียบๆ นั่งเงียบๆ อยู่มืดๆ ทำงานอยู่บนโต๊ะทำงานนั่นล่ะ เพราะมันคือวิธีที่ปังที่สุด ที่จะงัดไอเดีย งานเขียนให้ออกมาได้ซึ่ง ทฤษฏีปิดห้องขัง มีดังนี้
คนส่วนใหญ่มักบอกว่า จะคิดงานออกต้องออกไปข้างนอก ไปเจอสิ่งหลากหลาย แต่ทฤษฎีคนบางคน (คนคนนี้) กลับแย้งกัน ประสบการณ์เหล่านั้น มีแต่จะทำให้ว่อกแว่ก คิดอะไรไม่ประติดประต่อสักอย่าง หันไปมองทางโน้น ชะเง่อไปมองทางนี้ ไม่ได้ช่วยอะไรให้คิดได้เลย
แต่การอยู่ในกรอบแคบๆ โลกจะบีบเราให้แคบลง และผลักดันสมองให้ทำงาน เมื่อความเงียบเข้ามาไอเดียก็บรรเจิด งานเขียนเกิดขึ้นไม่ยากเลย โดยเฉพาะในห้องน้ำ ไอ้ความแคบขนาดที่กำลังปลดทุก..ไอเดียมักบรรเจิดขึ้นดีนักแล
John Cheese นักเขียนเลืองชื่อได้กล่าวไว้ว่า เมื่อมีข้อจำกัด ของสถานที่และเวลา มันจะเร่งความคิดสร้างสรรค์เราให้บรรเจิดขึ้น ตัวอย่างคลาสสิกสุดสตรองเมื่อErnest Hemingway ถูกท้าทายให้เขียนนิยาย ภายใน 6 คำ เออ..เอากับเขาซิ ..เขากลับคิดมันออก และครีเอทคำเหล่านั้นออกได้เป็นคำว่า For sale, Baby shoes, Never worn ถือเป็นต้นแบบของการเล่าเรื่องในสไตล์ Flash Fiction นั่นเอง
ในความว่างเปล่ามันอาจเจอความว่างเปล่า ไม่มีอะไรซ่อนอยู่ มันคิดไม่ออกเขียนไม่ได้ เมื่อความรู้สึกมันตอกย้ำว่ามันโล่ง สมองเจ้ากรรมดันโล่งตาม แต่ลองดูซิ..ไอ้ความรกๆ นี่ละ มองทางโน้นก็แน่น มองทางนี้ก็เต็ม เอ๊ะ..แปลกกับคิดงาน เขียนออกได้ดี บางทีสมองบางคนก็ถูกออกแบบมา ในแบบฉบับที่ไม่ต้องอยู่ในกรอบ ในกฎระเบียบมากนักหรอก รกๆ บ้างก็ได้
แปลกแต่เป็นจริง ในความมืดแบบสลัวๆ มันทำให้ความรู้สึกฟิน อินอย่างบอกไม่ถูก มันเหมือนสะกดจิตให้อยู่กับสิ่งที่เขียน ดีกว่าเปิดไฟจ้าสว่างไสว ทำงานในออฟฟิต ความสลัวๆ จะทำให้เรามองไม่เห็นสิ่งเร้ารอบตัว ใจจึงจดจ่อมีสมาธิ และตกอยู่ในภวังค์กับเรื่องที่เขียน
ยิ่งดึกยิ่งดี ยิ่งหาวยิ่งสมองลื่น อารมณ์มักมาบรรเจิด “ติสท์” ตอนสมองจะไม่ไหวแล้ว ไอ้ตอนครึ่งหลับครึ่งตื่นนี่ละ ไอเดียงานเขียน ไหลได้ดีนักเชียว เรียกไอ้อาการแบบนี้ โมเนท์แนวๆ นี้ว่า Hypnopompic State (หรือ Hypnopomp)
อย่างนักจิตรกรชื่อดัง Salvador Dalí เขามักงีบบนโต๊ะอยู่บ่อยครั้งเมื่อต้องคิดงานใหม่ๆ และระหว่างที่กำลังสะลึมสะลือนี่ล่ะ จะถือช้อนไว้ในกำมือ ระยะมือให้อยู่เหนือจานพอดี จนเมื่อสมองหงอย ดิ่งลง (หลับ) ช้อนจะหลุดจากมือตกลงกระทบกับจาน ทำให้เขาสะดุ้งตื่น ซึ่งเขาบอกว่า ช่วงเวลานี้ล่ะ มักจดจำภาพที่เห็นในขณะที่กำลังง่วงได้ จนสามารถต่อผลงานจริงได้สำเร็จ
และนี่เป็น 4 เคล็ดลับในการกระฉากไอเดียให้บรรเจิด ไม่เตลิดในการเขียน ลองนำไปปรับใช้ดูนะคะ แม้จะหามๆ หน่อย แต่คนบางคนก็เกิดมาเพื่อทำแบบนี้จริงๆ